top of page

หรือเธอถูกป้ายสี มารี อองตัวเนตต์

  • maxisbnf
  • Aug 6, 2024
  • 1 min read

มารี อองตัวเนตต์ ราชินีฝรั่งเศสชื่อกระฉ่อนโลก จนพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคยังยกเอาความตายของพระนางมาทำโชว์


เมื่อพูดถึงมารี อองตัวเนตต์ ทุกคนจะนึกถึงประโยค "ถ้าไม่มีขนมปังกินก็ไปกินเค้กสิ" แสดงถึงความไม่แยแสไม่เห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่กำลังจะอดตาย เล่นเอาคนที่ได้ฟังปรี๊ดแตกว่าสมควรที่จะโดนปฎิวัติแล้วล่ะ แต่รู้หรือไม่ ประโยคนี้เธออาจไม่ได้พูดมันออกมา และเธออาจเป็นแค่เหยื่อที่ถูกคณะปฎิวัติจงใจใส่ร้าย


มารี อองตัวเนตต์ ชาติกำเนิดของเธอเป็นเจ้าหญิงออสเตรีย เป็นพระธิดาองค์เล็กที่ทรงพระสิริโฉมที่สุดในบรรดาพระธิดาทั้งหลายของของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟและจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซาแห่งราชวงศ์ฮัฟสบวร์ก โกธาอันเก่าแก่และทรงอิทธิพลของยุโรป


เมื่อเธอชันษาได้เพียง 14 ปี ทางราชสำนักฝรั่งเศสก็ส่งทูตมาสู่ขอหมั้นหมายให้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าราวๆ 2 ปี ก่อนจะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอภิเษกสมรสกับมกุฎราชกุมารของฝรั่งเศสซึ่งต่อมาก็คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 16


สมัยก่อนการที่ราชวงศ์จะแต่งงานกันต้องมีทั้งความเหมาะสมทางชาติตระกูลและมีเหตุผลทางการเมืองแฝง โอกาสที่จะเจอกัน รักกัน ได้ครองคู่กันแฮปปี้เอนดิ้งแบบในนิทานมีน้อยมาก การอภิเษกระหว่างเจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศสกับเจ้าหญิงมารีแห่งออสเตรียก็เช่นกัน มีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ลดความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ เพราะสมัยก่อนฝรั่งเศสกับออสเตรียเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ฟังแค่นี้น่าจะพอเดาออกใช่ไม๊คะว่าการต้องไปพำนักในราชสำนักฝรั่งเศสหลังแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสาวน้อยอายุแค่ 16 แล้วมันก็เป็นความจริงที่ว่าชีวิตแต่งงานของเจ้าหญิงมารีไม่ราบรื่น ช่วงแรกพระสวามีไม่ยอมมีอะไรด้วย กว่าจะเป็นสามีภรรยาตามพฤตินัยกันก็หลังแต่งไปแล้วถึงสามปี ไหนจะต้องเผชิญกับความเกลียดชังของคนฝรั่งเศสหัวเก่าที่พากันเรียกพระนางในแนวเหยียดว่า "ผู้หญิงออสเตรีย" ไหนจะต้องเจอกับความหน้าไหว้หลังหลอก แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าของสมาชิกราชวงศ์และพวกขุนนาง แล้วยังต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมเนียมมากมายของราชสำนัก หาคนจริงใจด้วยก็ไม่มี ทุกคนที่ห้อมล้อมล้วนแล้วแต่หวังดีประสงค์ร้าย อย่างเช่น พระพี่นางทั้งสามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงยุยงให้พระนางมารี อองตัวเนตต์ เกลียดชังมาดามดูบารี พระสนมองค์สุดท้ายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ซึ่งไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นโสเภณีมาก่อน คือก๊กตัวเองไม่ชอบใครก็มาหาพวกให้ช่วยกันเกลียด และจำชื่อมาดามดูบารีไว้นะคะ เพราะเธอก็คือหนึ่งในคนที่นำความวิบัติมาสู่พระนางมารี อองตัวเนตต์


ช่วงแรกเจ้าหญิงมารียังปรับตัวไม่ได้ เธอเบื่อหน่ายกับปัญหารอบตัวจนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น รวมถึงไม่ได้รับรู้เลยว่าสภาพบ้านเมืองในตอนนั้นเข้าขั้นใกล้วิกฤต มีปัญหาสะสมมานาน เศรษฐกิจง่อนแง่นเริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เอาเงินไปสร้างพระราชวังแวร์ซายล์ เรื่อยมาจนถึงการไปสนับสนุนสงครามปฎิวัติในอเมริกาซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 หลังครองราชย์มัวไปบ้าสงครามผลาญเงินจนประเทศแทบล่มจม ประชาชนอดอยากล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ใครเตือนก็ไม่ฟัง มาสำนึกได้ก็สายเกินแก้ไปแล้ว


ก่อนจะขึ้นเป็นราชินี พระนางใช้วิธีจัดงานเลี้ยงหรูหราฟู่ฟ่าไม่เว้นแต่ละวันเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจจากความ toxic ของราชสำนัก ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยจนเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปโจมตี ทั้งขุดเรื่องจริงมาประจาน ทั้งสร้างข่าวลือ ทั้งแจกใบปลิว เป่าหูประชาชนทุกวี่ทุกวัน ซึ่งผู้คนก็พร้อมจะเชื่อและสะสมความเกลียดชังวันละนิดจิตหมกมุ่น เพราะตัวเองลำบากจะตายอยู่แล้ว แต่ในวังยังสุขสำราญผลาญเงินเป็นว่าเล่น จวบจนพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 สวรรคต พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขึ้นครองราชย์ เคียงคู่กับพระนางมารี อองตัวเนตต์ ราชินีแห่งฝรั่งเศสผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชินีผู้มีสไตล์ที่หรูหราฟู่ฟ่าที่สุดในยุโรป เป็นแฟชั่นไอคอนแห่งยุค ก็ยิ่งไปปลุกความหมั่นไส้ในมวลหมู่ประชาชนเข้าไปอีก


ยังจำมาดามดูบารีสนมเอกคนสุดท้ายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระนางมารี อองตัวเนตต์ได้ไม๊คะ ช่วงท้ายๆ รัชกาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 มาดามดูบารีได้ไปประจ๋อประแจ๋ขอพระราชทานสร้อยเพชรเป็นของขวัญ "ทรงโปรดพระราชทานสร้อยเพชรที่เลอค่าที่สุดให้หม่อมชั้นเถอะเพคะ" และแล้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก็ทรงโดนตก ทรงสั่งให้ช่างเพชรชื่อนายชาร์ลส์ โบห์แมร์รวบรวมเพชรน้ำงามมูลค่ามหาศาลจำนวนมากมาทำสร้อยสุดอลังให้มาดามดูบารี ซึ่งอีตาโบห์แมร์ก็คงคิดว่าหวานคอแร้ง ลงทุนหมดหน้าตักกะฟันกำไรเต็มที่ เส้นนี้เส้นเดียวรวยเละ แต่แล้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก็สวรรคตก่อนสร้อยจะเสร็จ ทีนี้ก็เคว้งล่ะสิ จะเก็บเงินค่าสร้อยกับใครล่ะ มาดามดูบารีไม่มีเงินมาจ่ายแน่นอนแถมเทออเดอร์หายตัวไปติดต่อไม่ได้ซะงั้น สร้อยเพชรมูลค่ามหาศาลขนาดนั้นก็ต้องหาทางเก็บเงินกับพระราชาราชินีองค์ใหม่สิ แต่ช่วงนั้นพระนางมารี อองตัวเนตต์ปรับตัวได้และมีสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่มากขึ้น ข้อนี้มาจากคำบอกเล่าของข้าราชบริพารที่รอดชีวิตจากการปฎิวัตินะคะ อีกทั้งพระมารดาคือจักรพรรดินีเทเรซาแห่งออสเตรียก็ทรงมีลายพระหัตถ์ส่งมาเตือนให้สนใจราชกิจช่วยเป็นคู่คิดให้พระสวามี อย่ามัวแต่ทำตัวฟุ้งเฟ้อ ดังนั้น แน่นอนว่าทั้งพระนางและพระสวามีคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปฎืเสธที่จะจ่ายเงินค่าสร้อยจำนวนหลายล้านฟรังค์ที่ตัวเองไม่ได้สั่งทำให้แก่นายโบห์แมร์ช่างทำเพชร เล่นเอานายโบห์แมร์ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหาทางขายสร้อยเพชรเส้นนี้ จนเรื่องราวเข้าหูนางงูพิษไฮโซเชื้อพระวงศ์ถังแตกนามมาดามลาม้อต ซึ่งหาหนทางทำเงินจากสร้อยเส้นนี้ด้วยวิธีสุดแสนสกปรกตลบแตลงด้วยการปลอมจดหมาย ลายเซ็นต์และเหิมเกริมถึงขนาดให้โสเภณีนางหนึ่งปลอมตัวเป็นพระนางมารี อองตัวเนตต์ไปหลอกคาร์ดินัล เดอ โรอัง อดีตเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสผู้ตกกระป๋องแต่อยากกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งว่าแท้จริงแล้ว พระนางมารี อองตัวเนตต์อยากได้สร้อยเส้นนี้แต่กลัวพระเจ้าหลุยส์ไม่อนุญาต จะเป็นการดีมากเลยถ้าท่านคาร์ดินัลช่วยจ่ายเงินซื้อไว้ให้ก่อนแล้วค่อยมาเก็บเงินกับพระนางทีหลัง อีตาคาร์ดินัลก็ดันหน้ามืดอยากประจบเอาใจพระราชินีเพื่อจะได้เป็นคนใกล้ชิด ก็เลยยอมจ่ายเงินซื้อสร้อยเพชรเส้นนี้แล้วมอบให้มาดามลาม้อตนำไปถวายพระนางมารี อองตัวเนตต์ ซึ่งแน่นอนว่ามาดาม 18 มงกุฏแฮปเอาไว้เองแล้วนำไปแยกขายเป็นส่วนๆ เอาเงินมาใช้สบายไป เรื่องมาแดงเอาตอนที่มีการเรียกเก็บเงินไปยังพระนางมารี อองตัวเนตต์ซึ่งทรงงงเป็นไก่ตาแตก และแล้วความก็แตกนำไปสู่การจับกุมมาดามลามอตตัวแสบ


แต่เรื่องไม่จบแค่นี้ ยัยมาดามหลบหนีการจับกุมออกไปแพร่ข่าวเท็จสารพัดวิธีว่านางถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดคือพระราชินีซึ่งเดิมภาพพจน์ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วในเรื่องความสุรุ่ยสุร่าย คนทั้งหลายก็เลยพร้อมที่จะเชื่อ ถึงแม้พระนางมารี อองตัวเนตต์พยายามฟ้องร้องมาดามลาม้อตเพื่อปกป้องชื่อเสียงของพระองค์เอง แต่ผู้คนทั่วไปก็เทใจไปฝั่งที่ดูจะเป็นคนเสียเปรียบ ยายลาม้อตเลยรอดตัว แล้วก็ไปทุ่มสุดตัวกับการใส่ร้ายป้ายสีพระนางมารี อองตัวเนตต์ แม้ว่าระยะหลังทั้งพระเจ้าหลุยส์และพระนางมารี อองตัวเนตต์ต่างก็พยายามแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน บริจาคเงินช่วยเด็กกำพร้า รับเลี้ยงเด็กกำพร้า ตั้งโรงพยาบาล โรงทานแจกอาหารคนยากจนและอื่นๆ อีกมากมายแต่ก็ต้านความแรงของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ พอดีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นกษัตริย์ที่ไม่ค่อยเก่งด้วยก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ กลายเป็นมีข้อหาเพิ่มว่าพระนางมารี อองตัวเนตต์ ยึดอำนาจบริหารราชการ จุ้นจ้านกับการแต่งตั้งโยกย้ายขุนนางตามใจชอบซะงั้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพระนางแทบไม่มีอำนาจบริหารใดๆเลย จนมาถึงข่าวลือที่เปรียบเสมือนฟางเส้นท้ายๆ นั่นคือข่าวลือที่ว่ามีคนไปกราบทูลพระนางมารี อองตัวเนตต์ว่าประชาชนอดอยากแทบไม่มีขนมปังจะกินกันแล้ว แต่พระนางกลับตอบมาว่า ไม่มีขนมปังกินก็กินเค้กสิ วลีเด็ดนี้แพร่สะพัดไปทั่ว เพิ่มความเกลียดเข้ากระดูกดำจนผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง อดอยากแทบตายพากันลุกฮือเข้าร่วมกับคณะปฎิวัติซึ่งปะทุขึ้นในปี คศ. 1789


เมื่อการปฎิวัติเริ่มขี้น ทั้งคดีสร้อยเพชร ทั้งข้อกล่าวหาสารพัดรวมถึงวลีเด็ด "ไม่มีขนมปังก็กินเค้กแทนสิ" ก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือขยายผลให้เห็นความฟุ่มเฟือยยโสโอหังของเหล่าราชวงศ์และคนชั้นสูงผสมกับข่าวลือที่ว่าพระนางมารี อองตัวเนตต์แอบติดต่อกับทางออสเตรียให้ส่งกองทัพมาปราบกบฏ ก็เลยยิ่งทำให้แทบจะไม่มีประชาชนคนไหนเห็นอกเห็นใจเข้าข้างกษัตริย์และราชินี ทั้งสองพระองค์ถูกจับได้ระหว่างหลบหนีและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยตินโดยไม่สามารถแก้ต่างใดๆได้เลย หรือถึงมีโอกาสแก้ต่างก็ไม่มีประโยชน์เพราะทางฝ่ายคณะปฎิวัตินำโดยผู้นำหัวรุนแรงอย่างนายแม็กซิมิเลียน โรแบร์ส ปิแยร์ มีความตั้งใจจะกำจัดสมาชิกราชวงศ์และคนชั้นสูงของฝรั่งเศสให้สิ้นซาก


ต่อมาภายหลังมีการค้นคว้าหาข้อมูลแล้วพบว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระนางมารี อองตัวเนตต์หลายข้อเป็นเรื่องถูกใส่ไข่ให้ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายภาพพจน์ชื่อเสียงซึ่งก็ทำสำเร็จสมปรารถนาติดมาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ข้อกล่าวหาที่น่ารังเกียจที่สุดว่าพระนางมีอะไรกับพระโอรสของตัวเองซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นความจริง ข้อกล่าวหาที่ว่าพระนางเป็นต้นเหตุให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสล่มจม ซึ่งเอาจริงมันเริ่มติดลบสะสมมาตั้งแต่สร้างแวร์ซายล์แล้ว รวมถึงประโยคเด็ด "ไม่มีขนมปังกินก็ไปกินเค้กสิ" ประโยคนี้ไม่เคยมีหลักฐานว่ามีใครได้ยินจากปากของพระนางมารี อองตัวเนตต์ แต่กลับพบว่าตัดมาจากบางส่วนของประโยคเต็มๆแนวเสียดสี ตัดมาใช้แค่ let' s them eat Brioche ซึ่งอยู่ในหนังสือชื่อ The confessions แต่งโดยฌอง ชาร์ค รุสโซ่ นักปรัชญาการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนตั้งแต่พระนางเพิ่งอายุ 9 ขวบ และประโยคนี้ถูกคณะปฎิวัตินำมาใส่ความให้มารี อองตัวเนตต์กลายเป็นราชินีต่างชาติจากออสเตรียผู้ยโสโอหังเป็นภาพพจน์ติดตัวมาจนทุกวันนี้

หลังจากที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเนตต์ถูกประหารชีวิตแล้ว ประเทศฝรั่งเศสก็เข้าสู่ยุคสมัยแห่งความน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง (Reign of terror) คณะปฎิวัตินำโดยนายโรแบร์ส ปิแยร์ ผู้ถือโอกาสเข้ารับหน้าที่ประธานควบคุมการบริหารประเทศ เที่ยวไล่จับคนเห็นต่างทางการเมืองส่งไปตัดหัวด้วยกิโยติน ตายกันเป็นเบือราวๆ 16,000 คน ปล้น ฆ่า ข่มขืนสมกับแนวคิดของอีตานี่ที่ว่า ถ้าจะให้เกิดความสงบต้องทำให้เกิดความกลัว จนประชาชนทนไม่ไหว ลุกฮืออีกรอบ นำโดยนโปเลียน คราวนี้นายโรแบร์ส ปิแยร์ นั่นแหละ ถูกจับไปตัดหัวด้วยกิโยตินซะเอง แถมคนที่ประหารชีวิตเขาก็คือเพชรฆาตคนเดียวกับที่ตัดคอพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 นั่นเอง


หลังจากนายปิแยร์ซี้แหงแก๋ ทหารฝ่ายนโปเลียนก็ไปค้นพบจดหมายของพระนางมารี อองตัวเนตต์ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของนายสปิแยร์ พระนางเขียนถึงเจ้าหญิงอลิซาเบธน้องสะใภ้ ใจความว่าขออโหสิให้กับทุกคนที่ทำเลวร้ายกับพระองค์ ขอมิให้พระโอรสแก้แค้นใดๆ ฝากข้อความถึงญาติสนิทมิตรสหายว่าพระองค์ขอบคุณในไมตรีจิตและยังระลึกถึงพวกเขาตราบจนนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต


เรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร พระนางมารี อองตัวเนตต์เป็นราชินีที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนหรือพระองค์ถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างเกินจริงจากฝ่ายตรงข้าม ก็คงต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะค่ะ

 
 
 

Comments


สตูดิโอล่าสมบัติ
HELP

มาชม มาลองของจริงได้ที่ สตูดิโอล่าสมบัติ ซอยลาดพร้าว 83
เปิดทุกวัน จันทร์ - เสาร์ เวลา 10.30 - 16.30 น.

 

กรุณาโทรนัดหมายล่วงหน้า เพราะบางวันบางช่วงอาจไม่อยู่

คุณนิด 084 941 6668

Line OA icon for Web2-01.png
Line OA icon for Web2-02.png
Line OA icon for Web2-03.png
bottom of page