top of page

อาบเลือดชะลอวัย เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

  • maxisbnf
  • Jul 9, 2024
  • 1 min read
ree

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับการอาบเลือดสดๆ เพื่อคงความสาวตลอดกาล ซึ่งต้นตอเจ้าของสูตรนี้น่าจะมาจากเคาน์เตสเอลิซาเบธ บาโธรี่ แห่งแคว้นทรานซิลวาเนียผู้โหดเหี้ยมราวกับผีดูดเลือดจนได้ฉายาว่า The blood countess เธอคือฆาตกรสุดโหดที่สนุกกับการสั่งฆ่าสาวพรหมจารีไปมากกว่า 600 ศพ เพียงเพื่อรีดเลือดสดๆ มาอาบมาดื่มประทังความสาวจนได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนไปมากที่สุด แต่นักประวัติศาสตร์บางส่วนวิเคราะห์ว่าเธอถูกใส่ร้ายเพียงเพราะเหตุผลทางการเมือง ฆ่าน่ะฆ่าจริง แต่ไม่น่าถึงครึ่งของที่เล่าๆกันมา แล้วต้นตอของเรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง แม่หมีควายจะเล่าให้ฟังค่ะ


ree

เคาท์เตสอลิซาเบธ บาโธรี่ เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1560 ที่ปราสาทแถบเชิงเขาคาร์เทียน ประเทศฮังการี ตระกูลบาโธรี่ของเธอสืบเชื้อสายมาจากตระกูลฮัปสบวร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ทั้งร่ำรวย มีอำนาจเหลือล้น ปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคและยังเกี่ยวดองกับกษัตรย์ฮังการีในสมัยน้นอีกด้วย เรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดกันเลยค่ะ


ฟังๆดูก็เหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่โชคชะตาเหมือนผีห่าส่งมาเกิด เพราะเธอมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรงซึ่งมาจากการจับคู่แต่งงานกันเองในตระกูลเพื่อรักษาอำนาจทรัพย์สมบัติ ก็เลยทำให้ยีนด้อยกับยีนด้อยมาเจอกันจนส่งผลให้ทายาทผู้สืบเชื้อสายกลายเป็นพวกบกพร่องทางจิตกันหลายคน เพี้ยนกันไปคนละแบบรวมถึงตัวอลิซาเบธเองก็เพี้ยนไม่ต่างกับญาติๆ


ยิ่งโตขึ้นเธอก็ยิ่งเพี้ยน ผสมกับมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง มีหมอหลายคนมาทำการรักษาแต่ก็ไม่หาย จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง สาวใช้เข้ามาประคบประหงมแต่เธอปวดจนหัวจะระเบิดเลยหันไปกัดไหล่ของสาวใช้อย่างแรง สะบัดจนเนื้อหลุดติดฟันมา พอเอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้แทนที่เธอจะได้สติตกใจกลายเป็นว่าอาการปวดหัวแทบระเบิดดันหายซะงั้น ทีนี้เธอเลยค้นพบวิธีรักษาโรคปวดหัวด้วยตัวเอง ปวดหัวเมื่อไหร่ก็จับสาวใช้มาทรมานเมื่อนั้น อาการก็จะทุเลาราวกับได้ยาวิเศษ เพี้ยนไม๊ล่ะคะ


เมื่อเอลิซาเบธอายุ 15 ปี เธอก็ถูกจับคู่ให้แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซซึ่งเป็นปราสาทกว้างใหญ่บนภูเขาคาร์ลปาเชียในสโลวาเกียเพื่อปกครองอาณาจักรอันไพศาล


ree

คราวนี้ก็อีกครั้งที่เหมือนผีห่าจับคู่กับซาตาน เพราะท่านเคานท์นาดาสดี้ก็ดันเป็นจิตวิตถารเช่นเดียวกับอลิซาเบธ สองผัวเมียมักจะสนุกตื่นเต้นกับการได้ทรมานบ่าวไพร่รวมถึงเชลยศึกชาวเติร์กอย่างโหดเหี้ยม ว่ากันว่าอลิซาเบธเองก็ชอบคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆ นาๆ มาทดลองใช้กับเหยื่อผู้โชคร้าย วิปริตพอกันทั้งผัวทั้งเมียไม่มีใครยอมใคร เหยื่อก็เลยซวยไป


แต่ยิ่งอยู่ไปๆ ชีวิตก็เริ่มน่าเบื่อ สามีก็ไม่ค่อยอยู่เพราะต้องออกไปรบที่นู่นที่นี่ตลอด ชู้ก็มีจนเซ็งแล้ว ทรมานบ่าวไพร่ก็ทำอยู่ทุกวี่วัน เธอเลยหันมาลองของใหม่ๆ นั่นก็คือบ้ามนต์ดำบูชาภูตผีปีศาจ เธอมักจะประกอบพิธีกรรมประหลาดๆ กับคนรับใช้ ลองคิดดูสิคะว่าคนโรคจิตอย่างอลิซาเบธมาเพิ่มความเพี้ยนด้วยการบ้าไสยศาสตร์ ความวิปริตก็เลยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


ree

ต่อมาเมื่อปี คศ 1600 เอลิซาเบธอายุได้ 40 ปี ท่านเคาน์ฟีเรนซ์สามีคู่ซาดิสต์ได้เสียชีวิตทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของเธอ พอสามีจากไปเธอก็ครอบครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลรวยเละแต่เพียงผู้เดียวและที่เพิ่มมาอีกเรื่องคือ แต่ไหนแต่ไร เคาน์เตสเอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก เธอต้องการความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาลก็เลยมีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าสูตรไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธดันสางแรงไปหน่อย ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้นเล่นเอาเอลิซาเบธปรี๊ดแตก เธอคว้าแซ่หวดสาวใช้อย่างเมามัน แซ่กระชากผิวเด็กสาวหลุดตามออกมาพร้อมเลือดสาดกระเซ็นกระเด็นเปื้อนตัวอลิซาเบธสร้างความสนุกสนานสุดขีดที่ได้เฆี่ยนคนจนตายแถมตอนเช็ดเลือดที่เปื้อนตามมือตามแขนออกเธอพบว่า เอ๊ะ ทำไมผิวที่เช็ดเลือดออกมันช่างนุ่มใสดึ๋งดั๊งราวกับผิวสาว ตรงนี้ไม่รู้ว่าเธอมโนไปเองด้วยความเพี้ยนหรือว่าเป็นเพราะคราบเลือดทำให้ผิวดูอมชมพูก็ไม่รู้ได้ แต่มันทำให้อลิซาเบธปักใจไปแล้วว่า เลือดสดๆ นี่แหละคือยาอายุวัฒนะชั้นยอดที่จะคงความสาวให้เธอได้ และถ้าเป็นเลือดของเด็กสาวบริสุทธิ์ก็น่าจะยิ่งเพิ่มสรรพคุณเลอเลิศ คราวนี้แหละค่ะ มหกรรมหลอกเด็กสาวมาฆ่าเอาเลือดมาอาบจึงเริ่มต้นขี้น โดยอลิซาเบธได้สั่งให้หาเด็กสาวพรหมจารีที่หน้าตาผิวพรรณดี รูปร่างอวบอิ่มไม่ผอมแห้งแรงน้อย พอได้มาแล้วก็ถูกต้อนเข้าห้องเชือด ทำยังไงก็ได้ให้รีดเลือดออกมาได้มากที่สุด รองเลือดทุกหยาดหยดส่งให้อลิซาเบธอาบร่าง


งานล่อเด็กสาวมาเชือดเริ่มจากคนใกล้ตัว พวกลูกคนรับใช้ สาวใช้เอ๊าะๆ ลูกทาสติดที่ดิน ในเมื่อไม่มีเด็กสาวใกล้ตัวให้จับมาเชือดแล้วก็เริ่มลามปามไปล่อลวงลูกชาวบ้านทั่วไปซึ่งยินดีส่งลูกหลานมาทำงานในปราสาทหวังว่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หารู้ไม่ว่าลูกหลานของตัวเองไม่มีวันได้กลับออกไปอีกเลย

นับวันความบ้าของอลิซาเบธก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนมาถึงนวัตกรรมใหม่แห่งการทรมาน นั่นก็คือ the iron maiden เครื่องทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดเครื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคกลาง มันถูกประดิษฐ์โดยช่างทำนาฬิกาชาวเยอรมัน จุดประสงค์ไว้ใช้เค้นเลือดโดยเฉพาะ


ree

The iron maiden เป็นตุ๊กตาเหล็กรูปร่างคล้ายโลงทำจากไม้หรือเหล็ก ส่วนใบหน้ามีวาดเป็นหน้าตา เปิดประตูด้านหน้าออกได้ ภายในเป็นช่องกลวง ฝาด้านหน้ามีเข็มเหล็กแหลมยึดทั่วฝา พอจับคนยัดใส่ลงไป ปิดฝา หมุนสลักให้แน่น เข็มจะทิ่มลงไปในเนื้อหนังมังสาทำให้เลือดพรั่งพรูออกมาอย่างน่าสะใจ

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า The iron maiden มีอยู่จริงหรือไม่ ได้ถูกใช้งานจริงไหม เพราะถ้ามีอยู่จริงมันน่าจะหลงเหลือมาให้เห็นซากบ้าง หรือมันเพียงแค่เรื่องเล่าหรือสิ่งประดิษฐ์ไว้จัดแสดงเท่านั้น ตรงนี้นักประวัติศาสตร์ก็ยังไม่แน่ใจนะคะ แต่มันก็ถูกโยงเข้ากันเหมาะเจาะกับความเหี้ยมโหดของอลิซาเบธ


แต่ในที่สุด จุดจบของอลิซาเบธก็มาถึงจนได้ เมื่อเธอมักง่ายหรือจะเรียกว่าหน้ามืดก็ได้ ลูกสาวคนรับใช้ ลูกสาวชาวบ้านแทบไม่มีเหลือ ต้องหันมาหลอกล่อลูกสาวผู้ดีมีตระกูล บางทีก็ลูกเพื่อนๆของเธอนั่นแหละ แถมวิธีกำจัดศพก็ไม่เนียน อาจจะเพราะด้วยศพเยอะแยะมากมาย คนรับใช้หรือทหารก็มักง่ายขี้เกียจขุดฝังก็ใช้วิธีโยนทิ้งให้สัตว์ป่ากิน พวกเหล่านักเดินทางผ่านมาเห็นกองซากศพที่ซีดไร้เลือดก็เลยร่ำลือกันว่าป่ารอบๆ ปราสาทมีผีดูดเลือด ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเสียงร่ำลือว่าหรือมันจะเป็นปีศาจที่ซ่อนในปราสาทเพราะเด็กสาวที่ก้าวข้ามประตูเข้าไปไม่มีใครได้กลับออกมา

ว่าแล้วประเด็นผีดูดเลือดก็กลายเป็นไวรัล ประชาชนอยู่ด้วยความหวาดกลัว และแล้วเรื่องราวก็ไปถึงราชสำนักจนกระทั่งพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง


เดือน ธันวาคมปี 1610 มาร์ควิสธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธได้นำกำลังทหารบุกเข้าไปในปราสาทเซติซ ค้นทุกซอกทุกมุมจนไปถึงห้องใต้ดินของปราสาท ท่านมาควิสถึงกับตกตะลึงเมื่อพบเครื่องทรมานจำนวนมาก รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่รอการกำจัด สภาพแต่ละศพน่าสยดสยอง กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วและมีเด็กสาวบางคนที่ยังไม่ถึงคิวเชือดถูกช่วยออกมาเป็นพยานว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปราสาทแห่งนี้ นำไปสู่การจับกุมเอลิซาเบธ บาโธรี่ และลูกสมุนถูกในปี ค.ศ. 1610 เรื่องราวฉาวโฉ่ขนาดนี้จึงไม่มีอำนาจใดๆ จะช่วยเธอได้ บรรดาลูกสมุนลูกมือของเธอก็ต่างเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการและบอกรายชื่อเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้


เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้น เส้นสายของวงศ์ตระกูลก็ช่วยได้แค่ตัวเอลิซาเบธเองไม่ต้องลำบากตากหน้ามาขึ้นศาลด้วยตัวเองและรอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมรวมถึงสาวใช้คู่ใจ 2 คนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น ส่วนตัวเธอถูกจับเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ในปราสาทเซติซที่เธอเคยครอบครอง แล้วทหารก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมดเหลือไว้เพียงช่องเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำให้ ถูกจองจำในห้องอันมืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นความทรมานอย่างแสนสาหัสราวกับตายทั้งเป็นแต่เธอดันอยู่มาได้ถึง 4 ปี จนกระทั่งถึงวันที่ 21 สิงหาคม 1614 เธอก็สิ้นชีวิตปิดฉากความวิปริต ส่วนช่องเล็กๆ ที่ไว้ส่งน้ำส่งอาหารก็ได้ถูกปิดไปตลอดกาล ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซ บนภูเขาคาร์ลปาเชียในสโลวาเกียที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธก็ยังคงมีอยู่แม้จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง


ree

เรื่องราวของเคาน์เตสอลิซาเบธอาจจบลงเพียงเท่านี้ถ้าไม่มีนักประวัติศาสตร์บางคนออกมาตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องเล่าพวกนี้มีความจริงซักกี่เปอร์เซ็น แน่นอนล่ะว่าเธอมีตัวตนจริง มีภาพวาดอันเป็นที่จดจำเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ฮังการี แต่อย่าลืมว่า หลังสามีตาย เธอได้ครอบครองทรัพย์สินและดินแดนมากมายที่เป็นที่หมายปองของทั้งญาติฝ่ายสามีและญาติฝ่ายเธอเอง เมื่อไปค้นหลักฐานเรื่องราวคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีมาแล้วในหอจดหมายเหตุของฮังการีจะพบว่ารายชื่อเครื่องมิอที่พบในปราสาทของอลิซาเบธส่วนใหญ่เป็นเครื่องทางการแพทย์ในสมัยนั้น ส่วนคำสารภาพของผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆ่าหญิงสาวก็น่าจะเกิดจากการถูกทรมานจนต้องยอมรับๆไปให้สิ้นเรื่อง เพราะการเป็นม่ายแถมร่ำรวยขนาดเทียบเท่ากษัตริย์ของฮังการีย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอเอง และที่น่าเอ๊ะกว่านั้นก็คือ การที่เธอไม่ต้องมาขึ้นศาลก็เท่ากับเธอหมดโอกาสให้การแก้ต่างให้ตัวเอง ใครจะติดสินบนจะตัดสินกันไปทางไหน เธอก็ทำอะไรไม่ได้ หลังถูกพิพากษา ทรัพย์สมบัติของเธอถูกแบ่งให้ญาติๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นญาติสนิทมาควิสเธอโซผู้นำกำลังมาจับเธอทั้งนั้น น่าคิดไม๊ล่ะคะ ถ้าจะถามว่าเธอสั่งฆ่าสั่งทรมานคนจริงไม๊ มันก็จริงแหละ แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาของระบบศักดินาในยุคนั้น ในบันทึกคดีไม่เคยมีการกล่าวถึงการเอาเลือดมาอาบมีแต่บอกว่ามีการไต่สวนเพราะมีคนหายไปในพื้นที่ปกครองของเธอหลายสิบคน แต่ยังไงก็ไม่ถึง 600 คน


บางทีเรื่องเล่าสุดโหดนี้อาจเป็นฝีมือการปล่อยข่าวของผู้ไม่หวังดีที่หวังแย่งชิงสมบัติของเธอ เล่าข่าวลือให้โหดร้ายสยดสยองเกินจริง เพราะยังไงข่าวร้ายย่อมไปได้ไกลและดังระเบิดระเบ้อกว่าข่าวดีอยู่แล้ว

ถ้าอยากรู้จักเคาน์เตสอลิซาเบธ บาโทรี่และตามหา the iron maiden ว่ามีจริงหรือไม่ ลองไปที่ประเทศฮังการี่สิคะ

 
 
 

Comments


สตูดิโอล่าสมบัติ
HELP

มาชม มาลองของจริงได้ที่ สตูดิโอล่าสมบัติ ซอยลาดพร้าว 83
เปิดทุกวัน จันทร์ - เสาร์ เวลา 10.30 - 16.30 น.

 

กรุณาโทรนัดหมายล่วงหน้า เพราะบางวันบางช่วงอาจไม่อยู่

คุณนิด 084 941 6668

Line OA icon for Web2-01.png
Line OA icon for Web2-02.png
Line OA icon for Web2-03.png
bottom of page